แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3
1.)เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม
ทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินธุรกิจและทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็ว
ส่งผลต่อมูลค่าทางธุรกิจมากมายให้แก่ภาคธุรกิจ
จงยกตัวอย่างมูลค่าทางธุรกิจที่ได้รับจากการนำเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมมาใช้
ตอบ
บริการรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic
Mail: e-Mail) การใช้บริการรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์
จะมีลักษณะรูปแบบเช่นเดียวกับการส่งจดหมายทางไปรษณีย์เพียงแต่จะเปลี่ยนเป็นการส่งจากระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ส่งไปยังระบบคอมพิวเตอร์ของผู้รับผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
โดยสามารถส่งเอกสารจดหมายที่อยู่ในรูปแบบดิจิตอล ไม่ว่าจะเป็นตัวหนังสือ รูปภาพ
กราฟฟิก วิดีโอ โปรแกรม หรือแฟ้มข้อมูลประเภทต่างๆ
ได้โดยจะดำเนินการจัดส่งไปยังผู้รับภายในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
จะเห็นได้ว่าการรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์จะทำได้อย่างสะดดวกรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าการส่งจดหมายธรรดาหรือ
EMS เป็นอย่างมาก
ทำให้บริการนี้กลายเป็นบริการที่มีประโยชน์อย่างยิ่งโดยเฉพาะในการติดต่อทางธุรกิจในยุปัจจุบัน
ปัจจุบันมีหน่วยงานบางแห่งได้มีการพัฒนารูปแบบการให้บริการรับส่งอีเมล์ขึ้นใหม่เพื่อให้รองรับการใช้งานผ่านเครือข่าย
WWW ได้อีกด้วย
โดยผู้ใช้สามารถที่จะสมัครลงทะเบียนที่เว็บไซต์ ของหน่วยงานที่เปิดให้บริการได้
จากนั้นก็จะได้รับอีเมล์แอดเดรสและรหัสผ่านเพื่อขอเข้าใช้บริการผ่านเว็บไซต์ดังกล่าว
บริการรับส่งอีเมล์ผ่านเว็บในลักษณะนี้เรียกว่า เว็บเมล์ (Web Mail) สำหรับเว็บเมล์สำหรับของต่างประเทศที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมีอยู่หลายแห่ง
2.) จงสรุปความความท้าทายในการใช้อินเทอร์เน็ตสำหรับธุรกิจในยุคปัจจุบัน
ตอบ
ความท้าทายในในการใช้อินเทอร์เน็ตสำหรับธุรกิจ ในปัจจุบัน
คือความเร็วกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่สุดเป้าหมายสำคัญข้อแรกในกระบวนการวางแผนธุรกิจคือ
แผนงานในการสร้างความเร็วให้ระบบ
โดยแผนงานดังกล่าวจะประสบความสำเร็จได้จะต้องวางกรอบการทำงานเพื่อตอบสนองคำถามพื้นฐานต่อไปนี้
1. ธุรกิจมีวิธีการที่จะนำสินค้าเข้าสู่ตลาดให้รวดเร็วได้อย่างไร
2. คู่แข่งของธุรกิจมีวิธีการที่จะนำสินค้าของเขาเข้าสู่ตลาดให้รวดเร็วได้อย่างไร
3. ธุรกิจสามารถพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสินค้าที่มีอยู่ได้อย่างรวดเร็วมากน้อยแค่ใหน
4. อินเทอร์เน็ตสามารถเปลี่ยนแปลงธุรกิจได้รวดเร็วแค่ใหน
เพราะอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลางทางการค้าที่ทันสมัยซึ่งทำให้ผู้ค้ารายย่อยสามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้โดยการสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้า
หนทางหนึ่งที่อินเทอร์เน็ตสามารถช่วยผู้ค้ารายย่อย ก็คือ
ผู้ค้ารายย่อยสามารถเข้าถึงระบบการแลกเปลี่ยนขอมูลอิเล็กทรอนิกส์
และระบบเครือข่ายที่มีต้นทุนสูงได้โดยตรงอย่างที่ไม่สามารถกระทำได้ในอดีต
3.) สรุปความแตกต่างของเครือข่าย
LAN,WAN,CAN,MAN มาให้พอเข้าใจ
ตอบ LAN คือ
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่อยู่ใกล้ๆ กัน
โดยแต่ละเครื่อสามารถติดต่อสื่อสารได้กันโดยใช้ สายเคเบิล อินฟราเรด สายไฟ เป็นต้น
WAN คือ
ระบบเครือข่ายแลนสองระบบเครือข่ายหรือมากกว่าเชื่อมต่อกัน
โดยส่วนมากจะครอบคุมพื้นที่กว้าง
CAN คือ
ระบบมีกฏเกณฑ์เหมือนกับแลนแต่มีขนาดใหญ่กว่า แคนทำให้สำนักงานของมหาวิทยาลัย
หรือองค์กรต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกันได้
MAN คือ
ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายแลนหลายๆเครือข่ายเข้าไว้ด้วยกัน
เครือข่ายแมนอยู่กระจายห่างกันทั่วเมือง เช่น
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกรุงเทพมหานคร
4.)จงอธิบายคำศัพท์ที่เกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูลต่อไปนี้มาอย่างเข้าใจ
ตอบ 4.1 Telecommunication คือ
การติดต่อสื่อสารด้วยการรับส่งข้อมูลข่าวสารระหว่างตัวประมวลผล
โดยผ่านสื่อกลางที่เชื่อมต้นทางและปลายทางที่ห่างกัน
โดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายรูปแบบ ตามกฎเกณฑ์ หรือระเบียบวิธีการที่กำหนดขึ้นในแต่ละอุปกรณ์
4.2 Medium คือ
สื่อนำข้อมูล
4.3
Protocol คือ ระเบียบวิธีการ มาตรฐาน
หรือกฎเกณฑ์ในการติดต่อสื่อสาร ระหว่างกันของเครื่องมืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ
หรือ วิธีที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อการสื่อสารข้อมูล ซึ่งผู้ส่งข้อมูลจะต้องส่งข้อมูลในรูปแบบตามวิธีการสื่อสารที่ตกลงไว้กับผู้รับข้อมูล
จึงจะสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้
4.4 WWW
คือ เครือข่ายที่เชื่อมต่อกันทั่วโลก เรามักเรียกย่อๆกันว่า เว็บ
คือรูปแบบหนึ่งของระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายข่าวสาร ใช้ในการค้นหาข้อมูลข่าวสารบน Internet
จากแหล่งข้อมูลหนึ่ง ไปยังแหล่ง ข้อมูลที่อยู่ห่างไกล
ให้มีความง่ายต่อการใช้งานมากที่สุด WWW จะแสดงผลอยู่ในรูปแบบของเอกสารที่เรียกว่า
ไฮเปอร์เท็กซ์ (Hyper Text) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่รวบรวมข่าวสารข้อมูลที่อยู่กระจัดกระจายในที่ต่าง
ๆ ทั่วโลกให้สามารถนำมาใช้งานได้เสมือนอยู่ในที่เดียวกัน
โดยใช้เว็บเบราเซอร์ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ช่วยในการดู หรืออ่านข้อมูลเหล่านั้น
4.5
Internet คือ
การเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน ตามโครงการของอาร์ป้าเน็ต (ARPAnet
= Advanced Research Projects Agency Network) เป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ
(U.S.Department of Defense - DoD) ถูกก่อตั้งเมื่อประมาณ ปีค.ศ.1960(พ.ศ.2503)
และได้ถูกพัฒนาเรื่อยมา
4.6
Extranet คือ
ระบบเครือข่ายซึ่งเชื่อมเครือข่ายภายในองค์กร หรือ อินทราเน็ต (intranet) เข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายนอกองค์กร
เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ของสาขาของผู้จัดจำหน่าย หรือของลูกค้า เป็นต้น
โดยการเชื่อมต่อเครือข่ายอาจเป็นได้ทั้งการเชื่อมต่อโดยตรงระหว่าง 72
จุด หรือการเชื่อมต่อแบบเครือข่ายเสมือน (virtual network) ระหว่างระบบอินทราเน็ตหลาย
ๆ เครือข่ายผ่านอินเทอร์เน็ตก็ได้
4.7
File Transfer Protocol คือ โปรโตคอลเครือข่ายชนิดหนึ่ง
ถูกนำใช้ในการถ่ายโอนไฟล์ ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างการถ่ายโอนไฟล์ระหว่าง
ไคลเอนต์ (client) กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นแม่ข่าย เรียกว่า
โฮสติง (hosting) หรือ เซิร์ฟเวอร์
ซึ่งทำให้การถ่ายโอนไฟล์ง่ายและปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนไฟล์ผ่านอินเตอร์เน็ต
4.8
Client / server คือ การที่มีเครื่องผู้ให้บริการ (server)
และเครื่องผู้ใช้บริการ (client) เชื่อมต่อกันอยู่
และเครื่องผู้ใช้บริการได้มีการติดต่อร้องขอบริการจากเครื่องผู้ให้บริการ
เครื่องผู้ให้บริการก็จะจัดการตามที่เครื่องผู้ขอใช้บริการร้องขอ
แล้วส่งข้อมูลกลับไปให้ เครือข่ายแบบ Client / server เหมาะกับระบบเครือข่ายที่ต้องการเชื่อมต่อกับเครื่องลูกข่ายจำนวนมาก
โดยการรองรับจำนวนเครื่องลูกข่าย (Client )อาจเป็นหลักสิบ หลักร้อย หรือหลักพัน
เพราะฉะนั้นเครื่องที่จะนำมาทำหน้าที่ให้บริการจะต้องเป็นเครื่องที่มี
ประสิทธิภาพสูง เนื่องจากถูกต้องออกแบบมาเพื่อทนทานต่อความผิดพลาด ( Fault
Tolerance )และต้องคอยให้บริการทรัพยาการให้กับเครื่องลูกข่ายตลอดเวลา
โดยเครื่องที่จะนำมาทำเป็นเซิร์ฟเวอร์อาจเป็นคอมพิวเตอร์แบบเมนเฟรม
มินิคอมพิวเตอร์ หรือไมโครคอมพิวเตอร์ก็ได้
4.9 Web
Brower คือ
ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเข้าถึงข้อมูลเและติดต่อสื่อสารกับระบบสารสนเทศที่อยู่ในรูปแบบของเว็บเพจ
ซึ่งอยู่บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ชื่อว่า World Wide Web (WWW)
4.10
Router คือ
อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระบบเครือข่ายอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าแปลความหมายคำว่า Route
ก็คือ ถนน นั่นเอง ดังนั้น การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ด้วย Router
ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ได้มากกว่าหนึ่งเครื่องในเวลาเดียวกัน
5.) สื่อกลางข้อมูลแบบมีสายประกอบไปได้วยสายสัญญาณอะไรบ้าง
ตอบ 1.
สายคู่บิดเกลียว(twisted pair)
2. สายโคแอกเชียล (coaxial)
3. เส้นใยนำแสง (fiber optic)
6.)สื่อกลางข้อมูลแบบไร้สายประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
ตอบ
1. คลื่นวิทยุ (Radio Wave)
2. สัญญาณไมโครเวฟ (Microwave)
3. แสงอินฟราเรด (Infrared)
4. ดาวเทียม (satilite)
5. บลูทูธ (Bluetooth)
7.) ผู้เรียนคิดว่าเครือข่ายสถาบันการศึกษา
หรือองค์กรที่สังกัดอยู่ประกอบไปด้วยเครือข่ายชนิดใดบ้าง
ตอบ LAN
, CAN
8.) ยกตัวอย่างอุปกรณ์ในระบบแลน
(LAN) ทีพบเห็นในองค์กรธุรกิจ มา 2
ตัวอย่างพร้อมบอกประโยชน์ที่ได้รับจากอุปกรณ์นั้นๆ
ตอบ 1.
โรงงานอุตสาหกรรม ประโยชน์ที่ได้คือ
ความเป็นปัจจุบันของข้อมูลและไม่ซ้ำซ้อน
สามารถดึงหรือค้นหาข้อมูลภายในโรงงานได้ทั่วถึง
2. สำนักงาน ประโยช์ที่ได้คือ
การใช้สื่อสารภายในองค์กร การบันทึกข้อมูลและได้ข้อมูลที่ถูกต้องไม่ซ้ำกัน
ข้อมูลมีความแม่นยำและถูกต้อง
9.)เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
เครือข่ายอินทราเน็ต และเครือข่ายเอ็กซ์ทราเน็ต มีความเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
ตอบ
ต่างกันที่ อินเทอร์เน็ต (Internet) เครือข่ายสาธารณะ
อินทราเน็ต
(Intranet) หรือเครือข่ายส่วนบุคคล
เอ็กส์ทราเน็ต
(Extranet) หรือเครือข่ายร่วม
10.) ยกตัวอย่างบริการบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ธุรกิจสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการธุรกิจมา
3 บริการ พร้อมบอกเหตุผลประกอบว่า
นำมาประยุกต์ใช้อย่างไร
ตอบ 1.
ธุรกิจขายออนไลน์
โดยการนำมาโพสขายของผ่านเว็บไซร์ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน
2. ธุรกิจธนาคารออนไลน์
โดยการสร้างแอพขึ้นมา เพื่อให้สามารถ โอน จ่าย ได้ทางอินเตอร์โดยไม่ต้องไปธนาคาร
3. ธุรกิจตู้เติมเงินออนไลน์
โดยการสร้างตู้ขึ้นมา สามารถไปเติมเงินมือถือได้โดยไม่ต้องไปซื้อบัตรหรือสลิปได้
สรุปบทที่ 1
บทบาทการใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดการธุรกิจ
จากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้ จะพบว่าธุรกิจมีการแข่งขันการสูงมาก
ต้องอาศัยวิธีการและกลยุทธ์ต่างๆ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่จำเป็น
เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดต้องมีการวางแผนการดำเนินงานอย่างดี วิเคราะห์ความต้องการของตลาดหรือกลุ่มลูกค้าของตนเอง
มีเงินลงทุนมีความกล้าและความอดทนสูงจึงจะสามารถนำพาธุรกิจของตนให้อยู่รอดและเจริญก้าวหน้าได้หากวางแผนการดำเนินการไม่ดี
กลยุทธ์การดำเนินงานไม่ดีขาดการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจนั้นอาจจะประสบปัญหาไม่สามารถดำเนินงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึง คือ
ความรวดเร็วในการให้บริการแก่ลูกค้าประจำของธุรกิจนั้นตลอดไป
หากธุรกิจใดดำเนินงานแบบไม่มีขั้นตอนหรือขั้นตอนมากจนลูกค้าสับสน ให้บริการล่าช้า
ไม่ประทับใจ ก็จะเป็นสาเหตุให้ลูกค้าที่เคยมีอยู่ค่อยลดน้อยลง
จนทำให้ธุรกิจไม่สามารถดำเนินงานต่อไปได้ ดังนั้นการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศ
โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการจัดการธุรกิจจึงเป็นสิ่งที่ต้องคำนึง
ความหมายและขอบเขตการจัดการธุรกิจ
ในปัจจุบันได้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า
ธุรกิจจะดำเนินงานได้อย่างประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับการจัดการ และบุคคลสำคัญที่รับผิดชอบในการจัดการโดยตรงก็คือ
ผู้บริหาร
การมีผู้บริหารที่มีคววามสามารถจึงเป็นสิ่งที่องค์การธุรกิจทุกแห่งต้องการ
ประเภทของผู้บริหารแบ่งตามระดับการจัดการ
ประเภทของผู้บริหารที่ทำหน้าที่ทางการบริหารจัดการสำหรับธุรกิจโดยแบ่งตามระดับการจัดการแบ่งออกเป็น
3 ระดับได้แก่
1. ผู้บริหารระดับสูง
เช่น ประธานบริษัท เป็นต้น
2. ผู้บริหารระดับกลาง
เช่น ผู้จัดการฝ่าย เป็นต้น
3. ผู้บริหารระดับล่าง
เช่น หัวหน้างาน เป็นต้น
ประเภทของผู้บริหารแบ่งตามหน้าที่งาน
ประเภทของผู้บริหารที่ทำหน้าที่ทางการบริหารจัดการสำหรับธุรกิจโดยแบ่งตามหน้าที่งานแบ่งเป็น
5 ด้าน ได้แก่
1. ผู้บริหารการผลิต
เป็นผู้บริหารที่รับผิดชอบในการผลิตสินค้าและบริการ
2. ผู้บริหารการตลาด
เป็นผู้บริหารที่รับผิดชอบด้านการตลาดของสินค้าและบริการ
3. ผู้บริหารการเงิน
เป็นผู้บริหารที่รับผิดชอบด้านการเงินและการบัญชี
4. ผู้บริหารทรัพยากรบุคคล
เป็นผู้บริหารที่รับผิดชอบด้านการจัดการทรัพยากรบุคคล
5. ผู้บริหารทั่วไป
เป็นผู้บริหารที่รับผิดชอบในการประสานงานของทุกๆ หน้าที่งานเข้าด้วยกัน
โดยไม่จำเป็นต้องมีความชำนาญเฉพาะด้านในการผลิต การตลาด การเงิน หรือทรัพยากรบุคคล
วิวัฒนาการของการใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ
คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เกิดขึ้นประมาณ 50
ปีก่อนนั้น มีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงจากอดีตอย่างมากมาย
การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในทุกวงการเป็นไปอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในงานธุรกิจมีการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยการทำงานในระดับปฏิบัติและในระดับบริหารในธุรกิจทุกประเภท
ดังนั้นการศึกษาเพื่อให้เข้าใจถึงพัฒนาการการใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
ย่อมจะช่วยให้เกิดความเข้าใจในการนำเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานธุรกิจ
ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธภาพต่อธุรกิจนั้นๆ
ยุคประมวลผลข้อมูลหรือยุคดีพี(Data Proceesing Era : DP Era)
การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในประเทศไทยเริ่มต้น
เมื่อสำนักงานสถิติแห่งชาติได้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ระดับเมนเฟรมคอมพิวเตอร์
ซึ่งเป็นเครื่องขนาดใหญ่เพื่อสำมะโนประชากรในราวปี พ.ศ. 2505
หลังจากนั้นก็เริ่มมีการดำเนินการในการใช้คอมพิวเตอร์มากขึ้นทั้งในภาครัฐและเอกชน
สำหรับภาคเอกชน การประยุกต์คอมพิวเตอร์ในธุรกิจในระยะแรกๆ
นั้นมักจะเป็นกิจการขนาดใหญ่
ทั้งนี้เนื่องจากการใช้คอมพิวเตอร์ในช่วงเวลานั้นจะต้องลงทุนสูงมาก
ดังนั้นการใช้คอมพิวเตอร์ในธุรกิจในยุคประมวลผลข้อมูล สามารถสรุปได้เป็น 6
ประเด็นหลักๆ ได้ดังนี้ คือ
1. ลักษณะการใช้งานทั่วไป
2. จุดมุ่งหมายของการใช้คอมพิวเตอร์ในยุคประมวลผลข้อมูล
3. รูปแบบของการประมวลผลข้อมูล
4. เทคโนโลยียุคประมวลผลข้อมูล
5. การบริหารจัดการงานคอมพิวเตอร์
6. การพัฒนาซอฟต์แวร์และระบบสารสนเทศ
ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศหรือยุคไอที (Information Technology Era : IT
Era)
การใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศสามารถสรุปเป็น 5
ประเด็นหลักได้ดังนี้คือ
1. ลักษณะการใช้งานทั่วไป
2. การประยุกต์ในงานด้านอื่นๆ
3. ระบบสารสนเทศในธุรกิจ
4. โปรแกรมสำเร็จรูป
5. การบริหารจัดการงานคอมพิวเตอร์
ยุคเครือข่ายหรือยุคเน็ตเวิร์ค (Network
Era)
ยุคเครือข่ายเป็นยุคกที่มีการผสมผสานการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ากับเทคโนโลยีโทรคมนาคมเพื่อให้ทำงานร่วมกันเป็นระบบเครือข่าย
การดำเนินธุรกิจในยุคเครือข่ายมีการเปลี่ยนแปลง 4
ด้าน พอสรุปได้ดังนี้ คือ
1. การทำงานภายในองค์การจากเดิมทำงานแบบบุคคล
(Personal Computing)
2. ระบบงาน
3. โครงสร้างองค์การธุรกิจ
4. การประยุกต์ในการดำเนินธุรกิจ
ลักษณะการใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ
ถึงแม้ว่าแต่ละธุรกิจจะมีการแบ่งโครงสร้างขององค์การที่แตกต่างกัน
แต่การใช้งานคอมพิวเตอร์ก็ยังมีคการวามคล้ายคลึงกันซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น 3
ลักษณะใหญ่ๆ ดังนี้คือ การใช้คอมพิวเตอร์ในภารกิจหลักของธุรกิจ
การใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานร่วมกันในงานกลุ่ม
การใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานส่วนบุคคล มีรายละเอียดดังนี้
1. การใช้คอมพิวเตอร์ในภารกิจหลักของธุรกิจ
(Mission Critical Application)
การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในภารกิจหลักก่อให้เกิดผลดี ดังนี้
1. ลดต้นทุนการดำเนินงาน
2. การเพิ่มรูปแบบบริการให้มีความหลากหลายและรวดเร็ว
ลูกค้าหรือผู้รับบริการพอใจทำให้มาใช้บริการเป็นประจำ
3. การเพิ่มผลผลิตขององค์การ
ทั้งนี้เนื่องจากผลผลิตของพนักงานสูงขึ้นย่อมจะส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจให้เพิ่มตามไปด้วยเช่นกัน
4. การเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้สูงขึ้น
รวมทั้งการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อธุรกิจนั้นด้วย
2. การใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานร่วมกัน
แบ่งออกเป็น 3 กิจกรรมหลักดังนี้
1. การติดต่อสื่อสาร
(Communication)
2. การปฏิสัมพันธ์
(Interaction)
3. การตัดสินใจและการแก้ปัญหา
(Decision and Problem Solving)
3. การใช้งานคอมพิวเตอร์ในการทำงานส่วนบุคคล
1. งานด้านการพิมพ์และจัดทำเอกสาร
(Word Processing)
2. งานด้านการจัดทำจดหมาย
(Mail Merge)
3. งานด้านการคำนวณโดยใช้โปรแกรมตารางคำนวณ
(Spreadsheet)
4. งานด้านการนำเสนอ
(Presentation)
5. งานด้านการจัดการข้อมูล
(Data Management)
6. งานด้านการนัดหมาย(Appointment)
การใช้คอมพิวเตอร์ในระดับบริหาร
สำหรับการใช้คอมพิวเตอร์ในระดับผู้บริหารนั้น
สามารถใช้คอมพิวเตอร์ในงานสารสนเทศเพื่อการบริหารในแต่ละระดับของการบริหารองค์การตามหน้าที่พื้นฐานของธุรกิจ
และตามสายงานของธุรกิจ นอกจากนี้การใช้งานคอมพิวเตอร์ยังคำนึงถึงความจำเป็นของสารสนเทศต่องานบริหาร
และการใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างสารสนเทศเพื่อการบริหาร
การใช้คอมพิวเตอร์ในระดับกลยุทธ์
การบริหารองค์การใดๆ
ผู้บริหารจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์และรอบรู้ในการนำเสนอสารสนเทศที่เกิดขึ้นจากภายในและภายนอกองค์การธุรกิจมาเป็นข้อมูลพื้นฐาน
งานของผู้บริหารระดับสูงเกี่ยวข้องกับวิสัยทัศน์ กำหนดภารกิจ กำหนดวัตถุประสงค์
รวมทั้งการกำหนดแผนกลยุทธ์ เพื่อนำองค์การไปสู่จุดหมายที่กำหนด
การใช้สารสนเทศในระดับยุทธวิธี
สำหรับการสารสนเทศในระดับยุทธวิธีของผู้บริหารนั้น
มีประเด็นที่สามารถนำมาพิจารณาการใช้สารสนเทศในระดับยุทธวิธีประกอบด้วย 3
ประเด็น คือ
1. คุณลักษณะของสารสนเทศเพื่อการวางแผนยุทธวิธี
2. แหล่งที่มาและการจัดเก็บสารสนเทศเพื่อการวางแผนยุทธวิธี
3. ตัวอย่างการใช้สารสนเทศเพื่อการวางแผนยุทธวิธี
การใช้สารสนเทศในระดับปฏิบัติการ
1. คุณลักษณะของสารสนเทศสำหรับแผนปฏิบัติการ
2. แหล่งที่มาของสารสนเทศสำหรับแผนปฏิบัติการ
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
4. ตัวอย่างการใช้สารสนเทศในการวางแผนปฏิบัติการ
การใช้คอมพิวเตอร์กับการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ
มี 3
ลักษณะ คือ
1. คอมพิวเตอร์กับการปรับปรุงประสิทธิผลของงาน
และการลดต้นทุนในการดำเนินงาน
2. คอมพิวเตอร์กับการปรับปรุงคุณภาพและลักษณะของสินค้าและบริการ
3. คอมพิวเตอร์กับการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
คอมพิวเตอร์กับการสนับสนุนการประดิษฐ์คิดค้นทางธุรกิจ
มี 3
ลักษณะ คือ
1. คอมพิวเตอร์กับสิ่งใหม่ทางธุรกิจ
2. คอมพิวเตอร์กับตลาดหรือช่องทางธุรกิจแนวใหม่
3. คอมพิวเตอร์กับการผลิต
ช่องทางการกระจายสินค้า และกระบวนใหม่
สรุป
ธุรกิจในปัจจุบันได้นำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการดำเนินงาน
ทำให้ประสบความสำเร็จตามเป้าที่กำหนดไว้ได้
โดยคอมพิวเตอร์สามารถเข้ามามีบทบาทในระดับผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารระดับกลาง
ผู้บริหารระดับต้น และระดับปฏิบัติการ การใช้คอมพิวเตอร์เกี่ยวกับการวางแผน
และการตัดสินใจเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการดำเนินการประจำวันของธุรกิจทั้งการใช้คอมพิวเตอร์ในระบบธุรกิจหลัก
การใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานร่วมกัน
และการใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานส่วนบุคคลเพื่อลดต้นทุนในการดำเนินงาน
การเพิ่มรูปแบบการบริหารที่หลากหลายและรวดเร็ว การเพิ่มผลผลิตในองค์กร
เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันโดยอาศัยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ด้านต่างๆ ทั้งด้านฮาร์ดแวร์
ซอฟต์แวร์เครือข่าย รวมทั้งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการทำงานร่วมกัน เช่น
การใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์การประชุมทางไกล
การใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดการทำเอกสาร การติดตามและการควบคุมโครงการ
รวมถึงด้านการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นต้น
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 4
1. ข้อมูลและสารสนเทศต่างกันอย่างไร
ตอบ
ข้อมูลและสารสนเทศมีความแตกต่างกันคือ ข้อมูล
เป็นข้อมูลที่ไม่ผ่านการประมวลผลที่แน่ชัดเป็นข้อมูลที่ได้มาแบบธรรมดา
ไม่เป็นไปตามวิชาการ เช่นคำพูดคนที่สามารถบอกข้อมูลต่างๆที่เราร้มาได้ แต่ สารสนเทศเป็นข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลแล้วและมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์
มนุษย์แต่ละคนตั้งแต่เกิดมาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆเป็นจำนวนมากมาย เช่น
เรียนรู้สภาพสังคมความเป็นอยู่กฎเกณฑ์และวิขาการ เป็นต้น
ที่มา https://www.gotoknow.org/posts/30687
2. ระบบสารสนเทศทางธุรกิจคืออะไร
มีบทบาทอย่างไรต่อองค์กรหรือภาคธุรกิจ จงอธิบาย
ตอบ ระบบสารสนเทศทางธุรกิจ (Business
Information System) เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้น
เพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานของธุรกิจให้ดำเนินการอย่างเป็นระบบ
โดยถูกออกแบบและพัฒนาให้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ทางธุรกิจ
ตลอดจนช่วยส่งเสริมให้ทั้งองค์การสามารถประสานงานและใช้ข้อมูลร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพทั้งในระดับปฏิบัติงานและระดับบริหาร
เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในสมัยปัจจุบัน
โดยเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทั้งใน ระดับ มหภาค และจุลภาค
โดยระบบสังคมใหม่เป็นสังคมที่ข้อมูลข่าวสารสามารถเดินทางได้อย่างอิสระ
บุคคลสามารถเข้าถึงและ นำข้อมูล มาใช้ ประโยชน์ อย่างเต็มที่
ก่อให้เกิดพัฒนาการที่รวดเร็วทางเศรษฐกิจสังคม การเมือง และเทคโนโลยี
นอกจากการเปลี่ยนแปลง ในระดับมหภาคแล้ว
เทคโนโลยีสารสนเทศยังช่วยเสริมประสิทธิภาพและประสิทธิผลขององค์การ ซึ่งช่วยสร้างความ
สามารถใน การแข่งขันและ ศักยภาพในการ เติบโตแก่ธุรกิจ
บูรณาการของเทคโนโลยีสารสนเทศกับการดำเนินธุรกิจ
พัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศสร้างความท้าทายต่อผู้บริหารในการบริหารงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต
โดยเฉพาะการ บูรณา การระหว่างเทคโนโลยีกับการดำเนินธุรกิจ (Integration
between Technology and Business Operations) โดยผู้บริหาร
ต้องคำนึงถึงความสอดคล้องระหว่างการดำเนินธุรกิจ เทคโนโลยี
และการตัดสินใจที่ต้องกระทำอย่างสอดคล้องกัน ผู้บริหารต้อง สามารถ
จัดการกับเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถแบ่งเป็นขั้นตอน ดังต่อไปนี้
1.กำหนดกลยุทธ์องค์การที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
2.กำหนดแผนงานสารสนเทศระดับองค์การและการดำเนินงาน
กำหนดโครงการสร้างหน่วยงานสารสนเทศ
3.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสารสนเทศขององค์การ (Information System
Infrastructure) เช่นอุปกรณ์ ชุดคำสั่ง ระบบสื่อสาร
และจัดการข้อมูล ระบบสำนักงานอัตโนมัติ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดศักยภาพและความ
ยืดหยุ่นในการปรับ แต่งของงาน สาร สนเทศ ในองค์การ
4.กำหนดรายละเอียดการดำเนินงานภายในองค์การ
พร้อมทั้งพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีความพร้อมต่อการ ประยุกต์ เทคโนโลยี สารสนเทศ
ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดแก่องค์การ
3.
วัตถุประสงค์ที่สำคัญที่ธุรกิจนำระบบสารสนเทศทางการบัญชีและการเงินมาใช้เพื่อประโยชน์ทางด้านใด
จงสรุปมาพอเข้าใจ
ตอบ
เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยทำให้มีการพัฒนาชุดคำสั่งสำเร็จรูปหรือชุดคำสั่งเฉพาะสำหรับช่วยในการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูล
ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาและเพิ่มความถูกต้องในการทำงานแก่ผู้ใช้
ทำให้นักบัญชีมีเวลาในการปฏิบัติงานเชิงบริหาร เป็นต้น
เช่นการออกแบบและการพัฒนาระบบ โดยที่ระบบสารสนเทศทางด้านการบัญชี จะเป็นระบบที่รวบรวมจัดระบบ
และนำเสนอสารสนเทศทางการบัญชีช่วยในการตัดสินใจแก่ผู้ใช้สารสนเทศทั้งภายในและภายนอกองค์การ
โดยระบบสารสนเทศทางการบัญชีจะให้ความสำคัญกับสารสนเทศด้านการบัญชีจะมีส่วนประกอบ 2
ส่วนคือ ระบบบัญชีการเงิน และ ระบบบัญชีการบริหาร
4. วัตถุประสงค์ที่สำคัญที่ธุรกิจนำระบบสารสนเทศด้านการตลาดและการขาย
เพื่อประโยชน์ทางด้านใดจงสรุปมาพอเข้าใจ
ตอบ การตลาดและงานขายเป็นหน้าที่สำคัญทางธุรกิจ
เนื่องจากหน่วยงานด้านการตลาดและงานขายจะรับผิดชอบในการกระจายสินค้าและบริการไปสู่ลูกค้า
ตั้งแต่การศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการ การวางแผนและการสร้างความต้องการ
ตลอดส่งเสริมการขายจนกระทั่งสินค้าถึงมือลูกค้า
ส่วนประกอบที่ทำให้การดำเนินงานทางการตลาดประสบความสำเร็จ ซึ่งประกอบด้วยปัจจัย 4
หลักคือ ผลิตภัณฑ์ ราคา สถานที่ หรือที่เรียกว่า 4P's โดยสารสนเทศที่นักการตลาดต้องการวิเคราะห์
วางแผนตรวจสอบและควบคุมให้แผนการตลาดเป็นไปตามที่ต้องการมาจากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้
คือ การปฏิบัติงาน การวิจัยตลาด คู่แข่ง กลยุทธ์องค์การ ข้อมูลภายนอก
และยังมีระบบย่อยของระบบสารสนเทศด้านการตลาดและมีความแตกต่างกันตามประเภทของธุรกิจ
ดังต่อไปนี้ คือ ระบบสารสนเทศสำหรับการขาย ระบบสารสนเทศ
สำหรับวิเคราห์การขาย
ระบบสารสนเทศสำหรับการวิเคราะห์ลูกค้า ระบบสารสนเทศสำหรับการหาขนาดของตลาด
ระบบสารสนเทศสำหรับการสงเสริมการขาย
ระบบสารสนเทศสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการ ระบบสารสนเทศสำหรับพยากรณ์การขาย
ระบบสารสนเทศสำหรับการวางแผนกำไร ระบบสารสนเทศสำหรับการกำหนดราคา
ระบบสารสนเทศสำหรับการควบคุมค่าใช้จ่าย
5. ระบบทันเวลาพอดี (Just-In-Time:JIT) คืออะไร
เหมาะสมกับธุรกิจประเภทใด และเป้าหมายของการผลิตของระบบ JIT อยู่ภายใต้เงื่อนไขใด
ตอบ
การผลิตแบบ Just In Time หรือ JIT คือ การผลิตหรือการส่งมอบสิ่งของที่ต้องการ
ในเวลาที่ต้องการ ด้วยจำนวนที่ต้องการ
โดยใช้ความต้องการของลูกค้าเป็นเครื่องกำหนดปริมาณการผลิตและการใช้วัตถุดิบ
ซึ่งหมายรวมถึงบุคคลากรในส่วนงานต่าง ๆ ที่ต้องการงานระหว่างทำ (Work In
Process) หรือวัตถุดิบ (Raw Material) เพื่อให้เกิดการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งจะทำให้วัสดุคงคลังที่ไม่จำเป็นในรูปของวัตถุดิบ (Raw Material), งานระหว่างทำ
(Work In Process) และสินค้าสำเร็จรูป (Finished Goods) กลายเป็นศูนย์
โดยวัตถุประสงค์ของการผลิตแบบทันเวลาพอดีคือ
1. ต้องการควบคุมวัสดุคงคลังให้อยู่ในระดับที่น้อยที่สุดหรือเท่ากับศูนย์
(Zero Inventory)
2. ต้องการลดเวลานำหรือระยะเวลารอคอยในกระบวนการผลิตให้น้อยที่สุดหรือเท่ากับศูนย์
(Zero Lead Time)
3. ต้องการขจัดปัญหาของเสียที่เกิดขึ้นจากการผลิตให้เป็นศูนย์
(Zero Failures)
4. ต้องการขจัดความสูญเปล่าในการผลิตดังต่อไปนี้
- การผลิตมากเกินไป
: ชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ถูกผลิตมากเกินความต้องการ
- การรอคอย
: วัสดุหรือข้อมูลสารสนเทศ หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวหรือติดขัดเคลื่อนไหวไม่สะดวก
- การขนส่ง
: มีการเคลื่อนไหวหรือมีการขนย้ายวัสดุในระยะทางที่มากเกินไป
- กระบวนการผลิตที่ขาดประสิทธิภาพ :
มีการปฏิบัติงานที่ไม่จำเป็น -
การมีวัสดุหรือสินค้าคงคลัง :
วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปมีเก็บไว้มากเกินความจำเป็น
- การเคลื่อนไหว
: มีการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นของผู้ปฏิบัติงาน
- การผลิตของเสีย
: วัสดุและข้อมูลสารสนเทศที่ไม่ได้มาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ไม่มีคุณภาพ
เหมาะสำหรับ อุตสาหกรรมการผลิต
ผลกระทบจากการผลิตแบบทันเวลาพอดี
1. ปริมาณการผลิตขนาดเล็ก
ระบบ JIT จะพยายามควบคุมวัสดุคงคลังให้อยู่ในระดับที่น้อยที่สุดเพื่อไม่ก่อนให้เกิดต้นทุนในการจัดเก็บและต้นทุนค่าเสียโอกาส
จึงผลิตในปริมาณที่ต้องการเท่านั้น
2. ระยะเวลาการติดตั้งและเริ่มดำเนินงานสั้น
ผลจากการลดขนาดการผลิตให้เล็กลง ทำให้ฝ่ายผลิตต้องเพิ่มความถี่ในการจัดการขึ้น
ดังนั้น ผู้ควบคุมกระบวนการผลิตจึงต้องลดเวลาการติดตั้งให้สั้นลงเพื่อไม่ให้เกิดเวลาว่างเปล่าของพนักงานและอุปกรณ์และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพอย่างเต็มที่
3. วัสดุคงคลังในระบบการผลิตลดลง
เหตุผลที่จำเป็นต้องมีวัสดุคงคลังสำรองเกิดจากความไม่แน่นอน
ไม่สม่ำเสมอที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวน การผลิต ระบบ JIT มีนโยบายที่จะขจัดวัสดุคงคลังสำรองออกไปจากกระบวนการผลิตให้หมด
โดยให้พนักงานช่วยกันกำจัดปัญหาความไม่สม่ำเสมอที่เกิดขึ้น
4. สามารถควบคุมคุณภาพสินค้าได้อย่างทั่วถึง
โดยผู้ปฏิบัติงานจะเป็นผู้ควบคุมและตรวจสอบคุณภาพด้วยตนเอง
ประโยชน์ที่เกิดจากการผลิตแบบทันเวลาพอดี
1. เป็นการยกระดับคุณภาพสินค้าให้สูงขึ้นและลดของเสียจากการผลิตให้น้อยลง
เนื่องจากเมื่อชิ้นงานเสร็จก็จะส่งไปยังคนต่อไปทันที
และเมื่อพบข้อบกพร่องก็จะรีบแจ้งให้คนงานที่ผลิตทราบทันทีเพื่อจะได้แก้ไขให้ถูกต้อง
จึงทำให้คุณภาพสินค้าดีขึ้น ซึ่งต่างจากการผลิตครั้งละมาก ๆ
ที่คนงานมักไม่ค่อยสนใจข้อบกพร่องของชิ้นงานแต่จะรีบส่งต่อทันทีเพราะยังมีชิ้นส่วนที่ต้องผลิตต่ออีกมาก
2. ตอบสนองความต้องการของตลาดได้เร็ว
เนื่องจากการผลิตมีความคล่องตัวสูง
การเตรียมการผลิตใช้เวลาน้อยและสายการผลิตก็สามารถผลิตสินค้าได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน
ทำให้สินค้าสำเร็จรูปคงคลังเหลืออยู่น้อยมาก การพยากรณ์การผลิตก็แม่ยำขึ้น
ผู้บริหารไม่ต้องเสียเวลาในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในโรงงาน
ทำให้มีเวลาเลือสำหรับการกำหนดนโยบาย วางแผนการตลาด หรือทำเรื่องอื่น ๆ
มากขึ้นด้วย
3. คนงานจะมีความรับผิดชอบต่องานของตนเองและงานของส่วนรวมสูง
เนื่องจากจะต้องผลิตสินค้าที่ดี มีคุณภาพสูง ส่งต่อให้คนงานคนต่อไป คนงานทุกคนต้องช่วยกันแก้ปัญหาเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในการผลิต
เพื่อไม่ให้เกิดการหยุดชะงักเป็นเวลานาน
ที่มา : http://jeducation.com/career/knowledge/2010/03/
6. MRP คืออะไรเป็นระบบที่มีลักษณะอย่างไรเหมาะกับธุรกิจประเภทใด
ตอบ คือ การใช้ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยในการควบคุมวัสดุและการวางแผนการผลิต
ระบบวางแผนความต้องการวัสดุจะพิจารณาความต้องการวัสดุจนถึงระดับผลิตภัณฑ์
โดยคำนวณความต้องการส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ในแต่ละช่วงเวลา
เพื่อจัดการสั่งผลิตหรือสั่งซื้อส่วนประกอบนั้นๆ นอกจากนี้ ระบบวางแผนความต้องการวัสดุยังทำหน้าที่เป็นกลไกในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตารางการผลิตเมื่อมีการทบทวนแผนงาน
และเป็นระบบที่ใช้ในงานบริหารการผลิตในธุรกิจประเภทอุตสาหกรรมการผลิต
เป็นระบบที่ช่วยในการวางแผนเกี่ยวกับความต้องการใช้วัตถุดิบว่าใช้ในช่วงใดบ้าง
ปริมาณเท่าใด และนำไปใช้ในเงื่อไขอะไร (ผลิต,ขาย)
เพื่อให้ปริมาณสินค้าคงคลังอยู่ในระดับที่เหมาะสม (ไม่สูงหรือต่ำเกินไป)
รวมไปถึงการจัดการเรื่อง เงินทุน
แรงงานและเครื่องจักรและการจัดการวางแผนและควบคุมการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมให้มีประสิทธภาพสูงสุด
เหมาะกับ โรงงานอุตสาหกรรม
7. HRIS ช่วยการดำเนินการของฝ่ายบุคลากร ได้อย่างไรบ้าง
ตอบ 1. ระบบงานวางแผนกำลังคน(Man Power
Planning) แสดงให้เห็นถึงความเคลื่อนไหว
2. ระบบงานทะเบียนประวัติ
(Central Database) ช่วยในการเก็บข้อมูลด้านประวัติส่วนตัวของบุคลากร
ประวัติการทำงาน ฯลฯ ซึ่งระบบอื่นๆ สามารถดึงข้อมูลไปใช้ร่วมกันได้
3. ระบบการตรวจสอบเวลา
(Time Attendance) ระบบจะดึงเวลาจากเครื่องรูดบัตร
มาเปรียบเทียบกับตารางเวลาทำงานปกติของพนักงาน แล้วรายงานความผิดพลาดที่เกิดขึ้นออกมา
เช่น การขาดงาน, การมาสาย, การลา,
หรือการทำงานล่วงเวลา เป็นต้น
4. ระบบงานด้านการคำนวณเงินเดือน
(Payroll) ช่วยในการบริหารเงินเดือน ค่าตอบแทน และภาษี
โดยที่ระบบจะทำการคำนวณอัตโนมัติ
5. ระบบประเมินผลการปฏิบัติงาน
(Performance Evaluation) ช่วยในการกำหนดมาตรฐานในการประเมินผล
ช่วยในการบันทึก คำนวณผลลัพธ์ และสรุปการประเมินผลของบุคลากร
ในเรื่องการขึ้นเงินเดือนและการเลื่อนขั้นตำแหน่ง
6. ระบบงานพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากร
(Training and Development) เป็นระบบที่
ช่วยในการวางแผนการพัฒนาบุคลากร
7. ระบบงานสวัสดิการต่างๆ
(Welfare) ช่วยในการเก็บบันทึกและบริหารงาน ข้อมูล
เกี่ยวกับการจัดสวัสดิการต่างๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาล, เงินกู้,
การเบิกวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้น
8. ระบบการสรรหาบุคลากร(Recruitment)
เป็นระบบที่บันทึกข้อมูลการสมัครงาน สามารถสร้างแบบฟอร์มการทดสอบ,
แบบฟอร์มสำหรับการสัมภาษณ์งานได้ และเมื่อพนักงานผ่านการคัดเลือกแล้ว
ก็สามารถโอนข้อมูลเข้าสู่ระบบรวมได้โดยอัตโนมัติ
ที่มา : http://www.hrtothai.com/Articles/Index/964
8. ระบบสารสนเทศมีส่วนช่วยในการติดต่อสื่อสาร
อย่างไรบ้าง
ตอบ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
มีส่วนทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในปัจจุบันมีความสะดวกสบายมากขึ้น
ทำให้คนในสังคมมีการติดต่อสื่อสารถึงกันได้ง่ายและรวดเร็ว
มีการทำกิจกรรมหลายสิ่งหลายอย่างร่วมกันง่ายขึ้น
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น
1. ด้านการศึกษา
2. ด้านการแพทย์และสาธารณสุข
3. ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม
เป็นต้น
9. ข้อมูลภายนอกซึ่งเป็นปัจจัยมีผลต่อการบริหารการเงินของธุรกิจได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ
ข้อมูลทางเศรษฐกิจและการเงิน สังคม การเมือง และปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อธุรกิจ
เช่น อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นต้น
โดยข้อมูลจากภายนอกจะแสดงแนวโน้มในอนาคตที่ธุรกิจต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์
10. ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์คือระบบใด
มีลักษณะอย่างไรและธุรกิจได้ประโยชน์อะไรบ้างจากระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์
ตอบ
ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์ คือ ระบบสารสนเทศใดๆ ที่ช่วยสนับสนุนกลยุทธ์การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันขององค์กร
มีลักษณะสำคัญ คือ
สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกิจของหน่วยงานได้อย่างขนาดใหญ่ซึ่งนั้นก็คือสามารถทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขัน
ระบบ SIS ทำเช่นนี้ได้โดยการกำหนดเป้าหมายของหน่วยงาน
หรือในการช่วยเพิ่มสมรรถนะและผลผลิตได้อย่างมาก ระบบ SIS อาจมีลักษณะมองออกไปข้างนอกคือความสนใจต่อลูกค้า
หรือมองเข้ามาข้างในคือให้ความสนใจต่องค์กรเอง
การมองไปข้างนอกเป็นการมุ่งที่การแข่งขันในตลาด เช่น การจัดหาบริหารใหม่ๆ
ให้ลูกค้า
หรือการผูกสัมพันธ์กับผู้ส่งชิ้นส่วนโดยมีจุดประสงค์ที่จะตีคู่แข่งเป็นระบบ SIS
ที่มองเข้ามาข้างในนั้นจะเน้นที่การเพิ่มผลิตภาพของพนักงานปรับปรุงการทำงานเป็นทีม
และสร้างการสื่อสารเพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น